วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แบกเป้ตะลุยฮ่องกง★ DAY1 -Hongkong Backpacker-

สวัสดีค่ะทุกๆคน วันนี้จะปฏิบัติการรีวิวทริปแบกเป้เที่ยวฮ่องกงสไตล์สาวๆกันนะคะ
ครั้งนี้เราเดินทาง2คน นั่นก็คือกับพี่สาวเราเอง

เริ่มต้นที่ สนามบินดอนเมือง เราจะขึ้นเครื่องไปด้วยสายการบิน AirAsia เที่ยวบินที่ FD508 ไฟล์ทเช้า  ถึงแล้วก็ทำการโหลดกระเป๋าให้เสร็จสรรพ เพราะพี่สาวเราเช็คอินออนไลน์ไว้ก่อนแล้ว แถวไม่ยาวมากเท่าไหร่ ติดตรงที่ว่ามีทัวร์จีนมารอเช็คอินอยู่ข้างหน้าาา เสียงคุยดังมาก แถมรู้สึกว่าจะมีปัญหากันด้วย เลยทำให้ล้าช้าไปอีกหน่อย 

พอผ่านตม.เข้ามาได้แล้ว เพราะหิวกันมาก จึงหาอะไรรองท้องจากสนามบินกันก่อนจะขึ้นเครื่อง เที่ยวบินไม่เลท ขึ้นเครื่องได้สบาย ตามเวลาที่กำหนดไว้ 

ถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง ที่Chek Lap Kok เป็นที่เรียบร้อย ที่สนามบินมีFree Wifi บริการนะคะ หายห่วง ตอบไลน์ โพสไอจีไ้ด้สบายๆเลยจ้า เดินตามทางมาเรื่อยๆ ก็ต้องลงบรรไดเลื่อนเพื่อนั่งรถไฟฟ้าต่อไปอีกอาคารนึง แต่ละคันก็เว้นช่วงห่างกันไม่มาก ถ้าคนเยอะก็สามารถรอขบวนถัดไปได้ 



นั่งไปไม่ถึงอึดใจ ก็ถึงปลายทางแล้ว เราก็เดินตามทางกันต่อมาจนถึงตม.ฮ่องกง *ใบผ่านเข้าเมืองแนะนำให้เขียนให้เสร็จตั้งแต่อยู่บนเครื่องนะคะ จะได้ผ่านเข้าตม.ได้เลย ไม่ต้องมาเสียเวลายืนเขียนอีก* 
พอผ่านออกมาได้แล้ว เราก็ต้องรีบหาซื้อบัตร Octopus แล้วก็เปิดใช้ซิม  พอออกมาจากตม.ก็จะเห็นบูธที่เขียนว่า Airport Express สีเขียวเข้มๆ สามารถซื้อที่บูธนี้ได้เลยจ้า แต่เราไม่ได้ซื้อตรงนั้นอะ ตอนแรกเข้าใจว่าขายแค่บัตร Airport Express เลยเดินออกมา จริงๆแล้ว Octopus เค้าก็ขายเหมือนกันจ้า   แต่ถ้าพลาดบูธนั้นไปแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวนะ พอออกมาจากส่วนด้านใน ข้างนอกก็ยังมีบูธขายอยู่ แต่คนอาจจะเยอะกว่านิดหน่อย 



บัตรOctopus จะสตาร์ทที่ 150HKD โดยที่จะมีเงินอยู่ในบัตร 100HKD อีก50HKD ถือ เป็นเงินประกันบัตร เมื่อแลกคืนจะได้50HKDกลับมาจ้า 


เสร็จจากบัตรOctopusแล้ว เราก็รีบมาเปิดซืมกันต่อ ที่ร้าน 1010 ภายในตัวสนามบิน เราเปิดเป็นซิมนักท่องเที่ยว สามารถใช้ได้ 8วัน ในราคา 118HKD มีเนตและโทรภายในพร้อม จุดประสงค์ของเราไม่มีอะไรมาก เน้นเล่นไลน์ โพสไอจี เช็คอินไปตามประสา เน็ตที่มีให้จึงเพียงพอถมเถ เพราะพอถึงที่พัก ก็ยังมีบริการไวไฟให้อยู่แล้ว



เปิดซิมอะไรเรียบร้อยแร้ว เราตามป้ายบอกทางกันมาจนถึงbus station เราวางแผนจะขึ้นกระเช้า Ngong pingกันวันนี้เลย จึงมารอรถกันที่ สถานี S1 เพื่อมุ่งหน้าสู่สถานี Tung Chung ราคา HKD โดยใช้บัตร Octopus จ่าย พอถึงแล้ว เราก็นำกระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ชั้น B1 ของห้าง Citygate Outlet จริงๆแล้วกระเช้าNgongping ก็มีบริการรับฝากกระเป๋าเหมือนกัน แต่ราคาจะสูงกว่ามาก เราจึงตัดสินใจฝากไว้ในล็อกเกอร์ที่นี่






พอฝากเสร็จแล้ว ก็หอบหิ้วตัวเองมาขึ้นกระเช้า Ngong ping กัน เย้! 
เราซื้อตั๋วมาจากไทยแล้ว *ราคาจะถูกกว่าซื้อเคาท์เตอร์นะ*  แต่ต้องมาแลกตั๋วจริงที่เคาท์เตอร์อยู่ดี โชคดีที่วันนี้เป็นวันพฤหัส จึงไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ 








กระเช้านองปิงนี้ มีทั้งแบบ Standard cabin และแบบ Crystal cabin โดยที่แบบ คริสตัลเคบิน จะเป็นพื้นใส สามารถมองเห็นวิวข้างล่างได้ชัดเจนทีเดียว เรานั่งแบบคริสตัลไปละ



ใช้เวลานั่งกระเช้าไปประมาณ20นาที เขินมากๆเลยไม่กล้าถ่ายรูป เพราะมีชาวต่างชาติร่วมกระเช้ามาด้วย แต่ยังดีที่มีคนไทยอีกคู่ ที่พอจะแก้เขินได้นิดนึง คู่คนต่างชาตินั้น ไม่ถ่ายรูปเลยจ้า ชมวิวกันอย่างเดียวเลย 555555 ส่วนเรากับพี่สาวก็ถ่ายรูปกันมันส์มากเลยทีเดียว ค่าตั๋วแพงต้องเอาให้คุ้ม5555



ลงกระเช้ามาแล้ว เริ่มหิว ไม่รู้จะกินของคาวอะไรดี ไม่ได้เสิชมาก่อนซะด้วย เลยเดินสุ่มๆ เข้าไปในร้าน AOK สั่งมา 2 อย่างด้วยกัน

มี



พอ ทานของคาวเสร็จ ก็มาต่อกันที่ไฮไลท์เลยนั่นก็คือ ของหวานที่เราโปรดปรานนั่นเอง 
ร้านที่ว่านี้ชื่อว่า Honeymoon Dessert เราสั่งมา2อย่างด้วยกัน นั่นก็คือ



Mango Pancake ของขึ้นชื่อของร้านเค้า  อร่อยเด็ดสมคำร่ำลือจริงๆ กินแล้วฟินสุดๆไปเลย 
และอีกเมนูนึงที่อร่อยไม่แพ้กันนั่นก็คือ Mango Pudding หอมกลิ่นมะม่วงมากๆ




กินกันเสร็จแล้วก็รีบไปกันต่อ เดินตรงเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อเข้าไปสักการะพระใหญ่ Tian Tan เพื่อเป็นสิริมงคลต่อการเริ่มทริป อิอิ  วันนี้ทั้งวันลมแรงมากๆ





ไหว้พระ ถ่ายรูปกันพอใจแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีอีกร้านนึงที่ยังไม่ได้ทาน นั่นก็คือเต้าฮวยงาดำ ที่เมื่อมานองปิงแล้วทั้งที ไม่ควรจะพลาดร้านนี้



เรากับพี่สั่งมาคนละถ้วย ร้อนกับเย็น  ส่วนตัวเราชอบร้อนมากกว่านะ รู้สึกเข้ากว่า5555


พอกินเสร็จ ก็นั่งกระเช้ากลับ ได้เวลา....... ช้อปปิ้งจ้า 5555555
เรามาช้อปกันที่ Citygate Outlet  ห้างนี้จะแบ่งโซนงงๆ ซึ่งเรางงมาก ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คิดว่าถ้าคราวหน้ามีโอกาสได้มาอีก คงจะศึกษา floor plan ให้ดีกว่านี้
จะซื้อของอะไร ก็เช็คโปรโมชั่นที่ตามมาด้วยให้ดี เพื่อความคุ้ม




ช้อปปิ้งกันแล้ว ก็รีบกลับมาเอากระเป๋า ก่อนที่มิเตอร์ค่าเช่าล้อกเกอร์จะวิ่งไปมากกว่านี้5555
เราจะจ่ายค่าเช่าตู้กันด้วยบัตร Octopus *บัตรนี้สมควรมีจริงๆ สะดวกมาก ทำหน้าที่คล้ายๆบัตร Rabbit   สามารถใช้จ่ายในร้านสะดวกซื้อบางแห่งได้อีกด้วย*



กระเป๋าพร้อมแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก เมื่อยเต็มที เราเดินทางกันด้วย MTR ลงที่สถานี Tsim Sha Tsui
ที่พัก เราจองไว้แล้วจากไทย นั่นคือ Hello Inn อยู่ในตึก Mirador Mansion ติดกับสถานีเลย ถือว่าสะดวกมากๆ แต่ตัวตึกจะดูโทรมหน่อย (ไม่หน่อยเท่าไหร่5555) แต่เรากับพี่ไม่มายเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาประหยัดและสะดวกเข้าว่า




Hello Inn ตั้งอยู่ที่ชั้น 6 ประตูเขียวๆ ล้อกA7

สภาพห้องถือว่าเยี่ยมเลย สำหรับราคานี้
เราจองห้อง Double/Triple ไว้ สามารถนอนได้3คน คือเตียงคู่1 กับเตียงเดี่ยวชั้นบน ถ้าเป็นห้องไซสนี้ จะรู้สึกว่า มีพื้นที่กว่า bunk bed  ตอนแรกเรากะจะจองอันนี้เพราะมันถูกกว่า แต่มันเต็มซะก่อน เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นอันนี้แทน แต่ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะราคาก็ไม่ได้ห่างกับ bunk bed มากนัก *ลืมบอกเลย อันนี้เป็นห้องน้ำในตัวนะ ไม่ต้องใช้รวมกับคนอื่น เยี่ยมไปเลย ;)*




จัดของ พักเหนื่อย อะไรเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกไปที่ Avenue of Star เพื่อจะดู Symphony of Light ตอน 2ทุ่มตรงให้ทัน แต่ปรากฎว่า ก้ไม่ทัน เพราะออกจากที่พักก็ปาเข้าไป 2ทุ่มแล้ว พอไปถึง มันก็จะจบพอดี เลยได้แค่ถ่ายรูปตึกกับแสงไปสวยๆ เฉยๆ


ดูเสร็จ พยาธิในท้องก็ส่งเสียงประท้วงกันใหญ่ เลยต้องรีบไปหาข้าวเย็นกินกัน
ตามแพลนที่วางไว้ ต้องไปกิน The Sweet Dynasty กันให้ได้ ไหนๆก็อยู่แถวนี้แล้ว ขอจัดตั้งแต่คืนแรกเลยแล้วกัน


ถึงแล้ว หน้าร้านอยู่ติดกับร้านขายผัก หาไม่ยากมาก แต่ตอนนี้หิวมาก รีบกระโจนเข้าใส่เลยทีเดียว5555
เค้าว่ากันว่า ร้านนี้สั่งได้เลย อร่อยทุกอย่าง


เราสั่งของคาวมา2 อย่าง

อย่างแรก เป็นเหมือนก๋วยเตี๋ยวผัด เป็นแป้งม้วนๆ อร่อยดี จำชื่อเมนูไม่ได้



อย่างที่2 คือ หมูแดงกับเป็น อร่อยค่า 55555 หรือหิวจัดก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่




ของคาวกันแล้วก็ต้องมาต่อด้วยของหวาน นั่นก็คือ



พุดดิ้งมะม่วง (อีกแล้ว5555) โห แต่รับประกันเลยว่า เด็ดจริงๆ  เมนูนี้คือฟินที่สุด ตัวพุดดิ้งหอมกลิ่นมะม่วงมาก ไม่รู้จะบอกยังไง ปริ่มมากค่าาาา 55555


แล้วก้เต้าฮวยในถัง (เต้าฮวยอะเกน)  นี่ถังเล็กแล้วนะคะ ย้ำ! นี่ถังเล็กจ้า 55555 กินกันไม่หมดค่า อาจจะเพราะ กินกันจนอิ่มแล้ว หรือเอียนเต้าฮวย หรือะไรก็แล้วแต่ แต่คือกินไม่หมดจ้า เหลือประมานครึ่งนึง


อิ่มกันแล้วค่า กลับที่พักกันเถอะ อิอิ

ในที่พักมีไวไฟฟรีให้บริการ เร็วสุดเลยละ ยูทูปลื่นปื้ด ไม่มีสะดุด 55555


จบกันแล้วสำหรับวันนี้ ติดตามวันต่อไปกันด้วยนะคะ :DDD <3


วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[ Review♡ ] ร้านอาหารบรรยากาศวินเทจที่ Karmakamet Diner


ร้านนี้เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนฝรั่งเศสผสมกัน  จัดร้านแนววินเทจ เน้นต้นไม้ บรรยากาศโดยรวมโรแมนติกสุดๆ (ถ้ามีแฟนแล้วอยากพามาทานที่นี่สักมื้อจริงๆ 555555)

เราเคยมาร้านนี้กับเพื่อนแล้วครั้งนึงเมื่อปีที่แล้ว (มิย'57) แต่เราสั่งขนมหวานผิดไปหน่อย รสชาติไม่ค่อยโอเคเลย ทำให้ค่อนข้างไม่ประทับใจเนื่องจากราคาถือว่าแพงอยู่  แต่ครั้งนี้ได้กลับมาแก้มืออีกครั้ง โดยสั่งของหวานเป็นเมนูยอดนิยมของร้าน เพื่อที่จะไม่พลาดเป็นครั้งที่2 !! 5555

คร้ังนี้เรามากะเพื่อนอีก 3คน อาจเป็นวันธรรมดาคนจึงไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ลูกค้าส่วนใหญ่ช่วงเวลานี้ จะเป็นชาวต่างชาติซะมากกว่า






                 ตัวร้านตั้งอยู่ในซอย เมธีนิเวศน์ หรือ สุขุมวิท 24 เป็นซอยข้างห้าง Emporium ฝั่ง Emporium Suite ถ้ามาบีทีเอสก็สะดวกหน่อย ลงที่สถานีพร้อมพงษ์





อาหารที่สั่งมาในวันนี้ มีของคาว 2 อย่าง และของหวาน 1อย่าง
ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ พวกเราก็ถ่ายรูปเล่นกันอย่างเพลิดเพลินเจริญใจมาก ถ่ายจนกระทั้งอาหารมา ก็ยังคงถ่ายกันต่อ55555 



เริ่มต้นที่ Egg White Fritata   THB270.-
(Egg White Omelet, Chorizo, Goat Cheese, Italian Basil, Red Capsicum, 
Homemade Tomato Sauce, Marinated Eggplant Salsa, Bouquet of Greens)
รถชาติโดยรวมถือว่าใช้ได้เลย แต่บางจุดที่โดนชีสแพะอาจจะรู้สึกคาวบ้าง แต่ถ้ากินพร้อมๆกับไข่และผัก ถือเป็นคอมบิเนชั่นที่ดีเลยทีเดียว


ตามมาด้วย  A Can't Resist Pancake  THB340.-
(Buttermilk Pancake, Duck Confit, Sauteed Potatoes, Crisp Bacon, 
Sweet Basil, Maple Syrup & Sour Cream)
เป็นเมนูของคาวที่รู้สึกประทับใจมาก ต้องบอกก่อนเลยว่าเราไม่ใช่พวกที่ชอบทานเป็ดเท่าไหร่ แต่พอกินจานนี้แล้วรู้สึกว่าอร่อยมากๆ กินเนื้อเป็ดพร้อมกับแพนเค้ก แล้วราดเมเปิ้ลไซรัปเข้าไปด้วย ละมุนมากๆ ถ้าใครมีโอกาสได้ไป ขอแนะนำเมนูนี้ไว้เป็นอีกทางเลือกนึงเลย รับรองไม่ผิดหวัง



และจบกันที่ Strawberry in the clouds THB390.-
(Strawberry short cake, strawberry ice-cream, amaretto cream, 
walnut crumble, rainbow cotton candy )
ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี เมนูนี้คือฟินมากๆ มากถึงมากที่สุด อร่อยจริงๆ ไม่ผิดหวังเหมือนครั้งก่อน รสชาติกลมกล่อม ไม่รู้สึกถึงการแต่งสีกลิ่นมากนัก คือละมุนมาก 555555



รวมๆก็มีแค่นี้ ไม่รู้จะบอกอะไรต่อ  ขอบคุณ คุณคนอ่าน ที่อ่านกันจนมาถึงตรงนี้ 
และขอฝากบล็อกนี้ไว้ด้วยนะคะ เลิ้บๆ จุ้บุ








วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วางแผน แบกเป้เที่ยวฮ่องกง !

สวัสดีค่ะทุกคน นี้เป็นการเขียนบล็อกครั้งแรกของเราเอง
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ


ตามที่ว่าไว้ ปลายเดือนพฤษภาคมนี้ เรากับพี่สาววางแผนจะแบกเป้ไปเปลี่ยนบรรยากาศกันที่ฮ่องกง  เนื่องจากเป็นประสบการแบกเป้ครั้งแรกของเรา จึงต้องมีการค้นคว้า ศึกษาข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยวในย่านต่างๆในฮ่องกงที่อยากไป โดยไม่ให้พลาดสถานที่เด็ด และร้านอร่อยๆเป็นอันขาด หากไม่จำเป็น 55555555 อ้อ แล้วก็ อยากประหยัดๆหลายๆอย่างเพื่อเอาไว้สมทบทุนช็อปปิ้งกับของกินอร่อยๆด้วย อิ้อิ้


เส้นทาง MTR ของเกาะฮ่องกง



อันดับแรกเลยคือ ที่พัก

เราอยากที่ๆตอนกลางคืนไม่น่าจะเปลี่ยวมาก เลยคิดว่า Tsim Sha Tsui หรือ Mong Kok น่าจะตอบโจทย์ได้ดี  ที่พักที่เล็งๆไว้ตอนนี้คือ Hello Inn ที่ตั้งอยู่บนตึกMirador Mansion ติดกับสถานี MTR Tsim Sha Tsui  ตอนแรกอยากจะได้เตียง2ชั้น ของที่นี่ (bunk bed) เพราะมีราคาถูกที่สุด และดูน่าอยู่ แต่จองไม่ทัน เลยต้องเลือกเป็นห้องประเภทอื่นไป


ต่อมาก็สถานที่เที่ยวที่อยากไป

ขั้นแรก เราลิสต์คร่าวๆก่อนว่า อยากไปที่ไหนบ้าง พอนึกได้ก็จดๆใส่สมุดเอาไว้  พอจดครบแล้ว ก็ค่อยๆแยกสถานีออกไป แล้วนำมาเขียนใหม่โดย แยกเป็นสถานีและสายของรถไฟไว้



ขาดไม่ได้เลยคือ รายชื่อร้านอาหาร ขนมหวานเด็ดๆที่ไม่ควรพลาด

เนื่องจากว่า เราเป็นคนที่ชอบกินเอามากๆสิ่งนี้เลยขาดไม่ได้สำหรับเรา  เพื่อที่เวลาเที่ยวเหนื่อยๆ ก็จะได้กินอาหารอร่อยๆ แล้วพร้อมที่จะออกเที่ยวต่อนั้นเอง



วางแผนว่าแต่ละวันจะทำอะไรบ้าง

เป็นไอเดียที่ดีเลยทีเดียวในการแพลนล่วงหน้าคร่าวๆไปก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาตอนไปถึง ว่าเราจะทำอะไร จะไปที่ไหนบ้าง แต่ตอนนี้ เรายังจัดตารางไม่ได้เลย คิดไม่ออกจริงๆ แต่ที่ชัวร์ๆแล้วคือต้องไปดิสนีย์แลนด์แบบเต็มวัน สักวันนึงของทริปให้ได้ !!



พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน แล้วจะมาเล่าต่อจ้า<3